วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

เส้นประธานทั้ง 10

เส้นประธานสิบ บ่งบอกอาการ
เส้นประธานสิบ

เส้นประธาน  คือ เส้นที่เป็นหลักสำคัญของวิชาการนวดไทยตามที่บูรพาจารย์ได้สืบทอดกันมา ซึ่งในร่างกายของคนเรา จะมีเส้นอยู่ในร่างกายถึง 72,000 เส้น แต่ที่เป็นเส้นประธานแห่งเส้นทั้งปวงจะมีเพียง 10 เส้นเท่านั้น
เส้น ประธานมีความสำคัญต่อการบำบัดรักษาโรค เพราะเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการอธิบายถึงความเป็นปกติสุข และความผิดปกติของร่างกาย โดยเฉพาะความผิดปกติซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดขัดหรือการกำเริบของลม จึงสามารถนำมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของความผิดปกติ นั้น  ว่า มีความสัมพันธ์กับเส้นประธานใด รวมทั้งสามารถกำหนดวิธีการนวดรักษาที่สอดคล้องสัมพันธ์กับเส้นประธานนั้นได้ อย่างถูกต้องตามหลักการแพทย์แผนไทย
ลักษณะและคุณลักษณะเส้นประธานสิบ  
·    เป็นเส้นที่อยู่บริเวณท้องรอบสะดือ  ลึกลงไปในกล้ามเนื้อบริเวณท้องประมาณ 2 นิ้วแล้วแต่ความหนาของกล้ามเนื้อ หน้าท้อง
·       เส้นแล่นขดกระหวัด กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
·       เส้นแต่ละเส้นแล่นไปตามแนวของแต่ละเส้นอย่างมีระเบียบ
·       เส้นแต่ละเส้นมีแนวเส้นร่วมของแต่ละเส้นกระจายอยู่ทั่วร่างกาย
·       เส้นร่วมของเส้นประธานสิบ มีส่วน ที่เกี่ยวกระหวัดกัน
·    เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีคุณลักษณะ เป็นเส้นที่สำคัญ กับระบบอวัยวะภายในร่างกายตามแต่ส่วนสัมพันธ์ของแต่ละเส้น
·    เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีคุณลักษณะ เป็นเส้นประจำธาตุของร่างกาย เพื่อใช้ในการกดนวดบำบัดอาการของลมบางอาการ  
·       เส้นประธานสิบแต่ละเส้น มีลมแล่นอยู่ประจำเส้น
·       เส้นประธานสิบเป็นเส้นประจำฤดูกาล
เส้นประธานสิบ ประกอบด้วย
เส้นอิทา  ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นอิทา ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
             1)เส้นอิทา..ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เยื้องซ้าย 1 นิ้ว แล่นไปที่ต้นขาด้านซ้ายถึงเข่า แล้ววกกลับมาต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลังซ้าย ถึงคอ ถึงศีรษะ แล้ววกกลับมาริมจมูกซ้าย ลมประจำ เรียกว่า ลมจันทรกะลา
                2)เส้นอิทา,,, จุดเริ่มต้นอยู่ห่างจากสะดือ ไปทางซ้วยมือประมาณ 2 นิ้วมือ แล่นลงไปที่หัวเหน่า และลงไปต้นขาเบื้องซ้ายด้านหน้า จนถึงเหนือหัวเข่า แล้วอ้อมไปทางซ้าย จดกึ่งกลางต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นบน ผ่านกึ่งกลางแก้มก้น ไปข้างกระดูกสันหลัง ขึ้นไปข้างกระดูกสันคอ กระหวัด ขึ้นไปบนศีรษะลง ที่หน้าผาก ไปข้างสันจมูก มาประจำอยู่ที่ข้างจมูกซ้าย
             3)เส้นอิทา ว่ามีตำแหน่งอยู่ห่างจากข้างซ้ายของสะดือประมาณ 1 นิ้ว และอยู่ลึกลงไปประมาณ 2 นิ้ว แนวเส้นแล่นออกไปดังนี้ -    แล่นลงไปที่บริเวณ หัวเหน่า
-    ผ่านลงมาต้นขาด้านใน แล่นลงไปที่บริเวณเหนือ ข้อกระดูก เข่าด้านใน แล่นเข้าไปในใต้พับข้อเข่า
-    แล่นขึ้นกลับมา ที่เหนือข้อกระดูก ด้านนอก แล่นขึ้นจากต้นขาซ้ายด้านนอก
-    แล่นขึ้นผ่านเข้าใปในตะโพกด้านซ้าย
-    แล่นขึ้นไปข้างแนวกระดูกสันหลัง บริเวณระดับเอว ( ชิดกระดูกสันหลัง ส่วนที่แหลม ข้าง ระหว่างกระดูกเอว ชิ้นที่ 1 และชิ้นที่ 2)
-    แล่นขึ้นแนบแนวกระดูกสันหลัง ด้านซ้าย แล่นต่อเนื่อง ขึ้นไปข้างกระดูกคอ ขึ้นตลอดไปบนศีรษะ
-    วกกลับลงมาผ่าน บริเวณหน้าผาก เข้าไปในจมูกข้างซ้าย

เมื่อเส้นอิทาผิดปกติ จะมีอาการดังนี้  ปวดศีรษะเป็นอย่างมาก ตามืดมัว ชักปากเบี้ยว เจ็บสันหลัง บางครั้งมีกำเดาและลมระคนกัน เกิดโทษสอง (ทุวันโทษ)มีอาการเรียกลมปะกังจะทำให้ตัวร้อนวิงเวียนหน้าตาบางครั้งเป็นสันนิบาต เป็นไข้ ปวดศีรษะมาก บางครั้งท้องมีอาการเรียกว่าลมพาหิ ลักษณะเหมือนงูทับทามาขบ ทำให้เชื่อมมึนสลบ
เส้นอิทาด้านหน้า  ผิดปกติจะมีอาการ  นาสิกตึง  ห้าวคางค้าว หูตึง  นมมิออก เมื่อยต้นขา ขัดเข่า เมื่อยแข้ง ลมขัง  ร้อนฝ่าเท้า  ปวดขมับ ลมดูดสะบัก เนื้อเหน็บชา ฟองดันบวม ขัดอุจจาระ ลมเบ่งผิดปกติ เท้าเย็น  ตะคริวเพลิง  ชักเท้า
เส้นอิทาด้านหลัง  ผิดปกติจะมีอาการ ปวดหน้าผาก ปวดกระหม่อม จักษุมัว  คลื่นเหียน หายใจขัด  เสียดชายโครง แน่นหน้าอก ร้อนอก  จุกอก  ตัวร้อน จับให้หนาว สะท้านร้อน สะท้านหนาว  เมื่อยเอว   ขัดเข่า  ร้อนฝ่าเท้า  ตะคริวฝ่าเท้า  ลมให้เดินตลอดผิดปกติ  
   
เส้นปิงคลา ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นปิงคลา ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
 1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 2 นิ้ว เยื้องขวา 1 นิ้ว แล่นไปต้นขาด้านขวาถึงเข่า แล้ววกกลับมา ต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นแนบกระดูกสันหลัง ถึงคอ ถึงศีรษะ แล้ววกกลับมาที่ ริมจมูกขวา ลมประจำชื่อ ลม ศูญทะกะลา
 2 จุดเริ่มต้น อยุ่ห่างจากสะดือ ไปทางขวาประมาณ 2 นิ้วมือ แล่นลงไปหัวเหน่า และลงไปต้นขาเบื้องขวา ด้านหน้า จนถึงเหนือหัวเข่า แล้วอ้อมไปทางขวา จดกึ่งกลางต้นขาด้านหลัง แล่นขึ้นบนผ่านกึ่งกลางแก้มก้น ไปข้างกระดูกสันหลัง ขึ้นไปข้างกระดูกสันคอ กระหวัดขึ้นไปบนศีรษะ ลงมาที่หน้าผาก ไปข้างสันจมูก มาประจำอยู่ที่จมูกข้างขวา
3  มีตำแหน่งอยู่ห่างจากข้างขวา ของสะดือประมาณ 1 นิ้ว และอยู่ลึกลงไปประมาณ 2 นิ้ว แนวเส้น แล่นเช่นเดียวกับเส้นอิทา แต่อยุ่ซีกขวาของลำตัว  มีแนวเส้นแล่นออกไปดังนี้
-    แล่นลงไปที่บริเวณหัวเหน่า
-    ผ่านลงมาต้นขาด้านใน แล่นลงไปที่บริเวณเหนือ ข้อกระดูก เข่าด้านใน แล่นเข้าไปในใต้พับข้อเข่า
-    แล่นขึ้นกลับมา ที่เหนือข้อกระดูก ด้านนอก แล่นขึ้นจากต้นขาซวาด้านนอก
-    แล่นขึ้นผ่านเข้าใปในตะโพกด้านขวา
-    แล่นขึ้นไปข้างแนวกระดูกสันหลัง บริเวณระดับเอว ( ชิดกระดูกสันหลัง ส่วนที่แหลม ข้าง ระหว่างกระดูกเอว ชิ้นที่ 1 และชิ้นที่ 2)
-    แล่นขึ้นแนบแนวกระดูกสันหลัง ด้านขวา แล่นต่อเนื่อง ขึ้นไปข้างกระดูกคอ ขึ้นตลอดไปบนศีรษะ
-    วกกลับลงมาผ่าน บริเวณหน้าผาก เข้าไปในจมูกข้างขวา

เส้นปิงคลากำเริบผิดปกติ มีผลทำให้เกิดโรคต่อไปนี้  หน้าแดง ตาแดง เกิดพิษลมปะกัง บางครั้งมีอาการชัก ปากเอียง บางทีเป็นสันนิบาตบางทีเป็นริดสีดวง น้ำมูกไหลคัดจมูก จาม   บางครั้งกลายเป็นลมผหิสิ้นสติ ไม่พูดจา เหมือนถูกงู ทับสมิงคลาขบเอา ทำให้สลบไป
               เส้นปิงคลาด้านหน้า 
กำเริบผิดปกติมีผลทำให้เกิดโทษดังนี้   ปวดกะหมับ  สบักจม หาวเรอ  หูหนักข้างขวา คัดจมูก  นมหลง ฝีในน้ำนม น้ำนมไม่มี   เมื่อยขา กล่อนลงฝัก เตโชธาตุมิออก เมื่อยสันน่าแข้ง  เท้าสทก กล่อนลงแข้ง  ตะคริวชัก กล่อนหลง  แก้ลมอโธคมาวาตาให้อ่อนไหวตัวมิได้
เส้นปิงคลาด้านหลัง  กำเริบ ผิดปกติ มีผลเกิดโทษดังนี้ ปวดหน้าผาก ตามัวคลื่นเหียน  หายใจขัด แน่นอก  ร้อนอก  จุกอก  ลมปัศชาต์ จับให้หนาว จับให้ร้อน สะท้านร้อน สะท้านหนาว เมื่อยเอว  ขัดเข่า เมื่อยสันหน้าแข้ง  ตะคริวชักกลางเท้า ลมขัดเท้า ร้อนหลังเท้า 
วิธีแก้ นวดตามแนวเส้นปิงคลา นวดตั้งแต่กระหม่อม ตา ไรผมต้นคอ ตามหูบริเวณทัดดอกไม้สองข้าง และที่กระหม่อม แล้วเลื่อนลงมาที่จุดศูนย์กลางบริเวณจมูกขวา ถ้าเป็นสันนิบาตลมปะกังนวดระหว่างคิ้วทั้ง 2บริเวณหน้าผาก คลึงไปท้ายผม หลังใต้หู  ให้นวดทั้ง 2 ข้างโดยเน้นที่จุด ข้างจมูก ทั้ง 2ข้าง
เส้นสุมนา  ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นสุมนา ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องเหนือสะดือ 2 นิ้ว แล่นขึ้นไปในทรวงอก ถึงลำคอ ไปสิ้นสุดที่โคนลิ้น เรียกว่า..รากเส้นลิ้น ลมประจำเรียกว่า ลมชิวหาสดมภ์
2 มีตำแหน่งอยู่เหนือสะดือ ขึ้นไปประมาณ 3 นิ้ว อยู่กึ่งกลางระหว่างสะดือ กับใต้บริเวณกระดูกอก และอยู่ลึกลงไป ประมาณ สองนิ้ว มีแนวเส้นแล่นดังนี้
-    แนวเส้นแล่น ขึ้นจากเหนือสะดือ ขึ้นไปใต้กระดูกอก
-    แล่นขึ้นผ่าน ลำคอ ไปจรดโคนลิ้น

เส้นสุมนาพิการมีผลทำให้เกิดอาการดังนี้ พูดไม่ออก เกิดลมเรียกว่าชิวหาสดมภ์ เกิดลิ้นกระด้างคางแข็ง  หนักอก หนักใจ เซื่อมมัว  มึนซึม  เกิดอาการจุกอก  เกิดเอ็นเป็นลำ  เรียกว่า ลมตาลละคุณ ถ้าเกิดอาการดวงจิตระส่ำระสายเรียกลม ทะกรน ถ้าเคลิ้มเสียจริต เสียสติ พูดจาเพ้อเจ้อ  หลงลืมเรียกว่า ลมบาทจิต ลมสุมนาอ่อนๆทำให้เบื่ออาหารมืออ่อนแรง  นอนระทวยใจ 
          เส้นสุมนาด้านหน้า   กำเริบผิดปกติมีผลเกิดโทษดังนี้  เซื่อมมึน  จิตต์ระส่ำระสาย  เคลิ้มคลั่ง  สะอื้นลมปะทะ  ละเมอเพ้อพก มือแลเท้าเพลีย   นอนมิหลับ  เกิดลมจิตร์คุณ เกิดลมมะหาสนุก เกิดชิวหาสดมภ์  กินอาหารไม่ มีรส  หวานปาก ขมปาก  แคมปากเลือดปาก ลิ้นแข็งกระด้าง ลิ้นใหญ่คับปาก ลิ้นหดยืดมิออก  สุมรณันติ
เส้นสุมนาด้านหลัง กำเริบผิดปกติมีผลเกิดโทษดังนี้   เกิดลมหัศดม  เซื่อมมึน สวิงสวาย  หายใจขัด ใจลอย  นอนมิหลับ  เกิดลมมะหาสนุก บาตลักษ   ลมบาทยักษ์ ลมมะหาสดมภ  ลมให้หิว ลมกระทบใจ  ละหวยใจ น้ำเขละใส  คลื่นเหียน รากเพื่อพิศ  ลมบาทจักร์ รำโหยจิตร์
เส้นกาลทารี  ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นกาลทารี ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้อง แล้วแตกเป็น 4 เส้น ดังนี้
แนวทั้ง 2 เส้น แล่นทแยงไปสู่ชายโครง ที่กระดูกชายโครงคู่ที่ 1 แล้ววิ่งไปที่ไหล่ แล้วขดแยกไปเหนือสะบักหลัง ไปข้างกระดูกคอ ชิ้นที 1 แล่นผ่านรอยบุ๋มข้างคอ  วกไปที่ศีรษะ แล้วกลับลงมาที่หู/แนวแล่นอีกทางหนึ่ง แล่นจากเหนือสะบักหลัง มาทีไหล่  จากไหล่ลงมาตามหลังแขน แล่นผ่านข้อศอกลงมาท่อนแขนด้านล่างผ่านบริเวณกลางข้อมือไปที่นิ้วมือทั้งห้า
แนวเส้นอีก 2 เส้น แล่นออกจากท้องลงมาต้นขาด้านใน ผ่านบริเวณน่อง ห่างกระดูกสันหน้าแข้งด้านใน แล้วมากลางหลังเท้า แล่นผ่านบริเวณข้อเท้า แล้วแยกเป็นห้าเส้นไปที่นิ้วเท้าทั้งห้า
ตั้งต้นที่ที่กึ่งกลางท้อง แล้วแตกเป็น 4 เส้น สองเส้นบนเหนือสะดือ 1 นิ้ว  แล่นผ่านราวนมทั้งสองข้าง ถึงข้อมือทั้งสองข้าง แล้วเลยไปที่นิ้วมือทั้งสิบ  2เส้นล่างใต้สะดือ 1 นิ้ว แล่นไปที่ขาทั้งสอง ถึงข้อเท้าทั้งสองข้าง แล้วเลยไปที่นิ้วเท้าทั้งสิบ

3  เส้นนี้แบ่งออกเป็น 4 เส้น 2 เส้นเริ่มจากเหนือสะดือ อีก 2 เส้นเริ่มจากใต้สะดือ
เส้น 2 เส้นเหนือสะดือ เริ่มต้นจากเหนือสะดือ ประมาณ 2 นิ้วมือ แยกเป็น 2 ส่วน แล่นไปตามราวนมข้างขวาและซ้าย ไปต้นแขนทั้งสองข้าง จากจุดต้นแขน แบ่งเส้นแล่นขึ้นบน ไปจด บริเวณไหปลาร้า และแล่นลงล่าง ไปตามท้องแขน ไปถึงปลายแขน และแยกออกไปข้างละ 5 เส้น ไปถึงปลายนิ้วมือแต่ละนิ้วมือ
เส้น 2 เส้น ใต้สะดือ เส้น 2เส้นนี้ ห่างลงมาจากจุดอิทา และปิงคลา ประมาณ 2 นิ้วมือ แล่นลงไปต้นขาทั้งสองข้าง ลงไปตามลำแข้งทั้งสอง ตลอดลงไปถึงข้อเท้า และแยกออกข้างละ 5 เส้น ไป ถึงปลายเท้าแต่ละนิ้วมือ

4 มีตำแหน่งอยู่เหนือสะดือ ห่างขึ้นไปประมาณ 2 นิ้ว อยู่ลึกลงไป ประมาณ 2 นิ้ว แนาแล่น ของเส้นแยก ออกเป็น 4 เส้น แนวแล่นของเส้น แล่นออกไปดังนี้
-    แนวแล่น 2 เส้น แล่นทแยง ไปสู่ชายโครง ไปที่กระดูกชายโครงคู่ที่ 1
-    แนวเส้นวิ่งไปที่ไหล่ แล้ว ขดแยกไปเหนือสะบักหลัง ไปข้างกระดูกคอ ชิ้นที 1
-    แล่นผ่านรอยบุ๋ม ข้างคอ วกไปที่ศีรษะ แล้วกลับลวมาที่หู
-    แนวแล่นอีกทางหนึ่ง แล่นจากเหนือสะบักหลัง มาทีไหล่
-    แนวแล่นทั้งสอง จากไหล่ ลงมาตามหลังแขน
-    แล่นผ่านข้อศอกลงมาท่อนแขน ( กล้ามเนื้อแขนท่อนล่าง)
-    แล่นผ่านบริเวณกลางข้อมือ ไปที่นิ้วมือทั้งห้า
-    แนวแล่นอีกสองเส้น แล่นออกจากท้องลงมาต้นขาด้านใน
-    ผ่านบริเวณน่อง ห่างกระดูกสันหน้าแข้งด้านใน แล้วมากลางหลังเท้า
-    แล่นผ่านบริเวณข้อเท้า แล้วแยกเป็นห้าเส้น ไปที่นิ้วเท้า ทั้งห้า

การแล่นของเส้น กาลธารี หมายถึง ข้างละเส้น และแนวเส้นที่แล่นไปที่ไหล่ จะมีลักษณะ กระหวัด เกี่ยวระหว่างสะบักหลังไปที่ไหล่ และแล่นไปที่คอ ไปบนศีรษะ กลับมาที่ไหล่ แล้วจึงแล่น ลงมาที่แขนไป ที่นิ้วมือทั้งห้า
          เส้นกาลทารีกำเริบ มีผลทำให้เกิดโรคและอาการดังนี้  มีอาการเย็นชาไปทั้งตัว ให้จับเย็น หนาวสะท้าน สาเหตุจากการกินอาหารผิดสำแดงหรือของแสลง  เช่น ขนมจีนข้าวเหนียว  ถั่ว  บางครั้งเกิดอาการสันนิบาตบางครั้งเกิดลม เรียกว่า สหัสรังษี คือหมดสติไม่รู้ตัว
          เส้นกาลทารี ด้านหน้า กำเริบ ผิดปกติมีผลเกิดโทษดังนี้   ขบไหล่ให้หิว  เมื่อยไหล่ ร้อนฝ่ามือยิ่งนัก ปลายมือเหน็บชา  ปัฎวิธาตุให้ผูก  ขัดข้อมือขัดศอก  อาโปธาติพิการ เท้าตาย  อันทรฤทธิ์ ขัดไหล่ให้ยอก ไหล่ลดยกมิได้ มือตายให้เย็น คลอดปลายมือ  ลมอะโคคมาวาตา ข้อศอกงอมิได้ เท้าตายยกมิขึ้น  อำมะฤทธิ์ ให้เตโชออก 
          เส้นกาลทารีด้านหลัง    กำเริบผิดปกติมีผลเกิดโทษดังนี้    ไหล่ตาย  ลมดูกสะบัก  ลมสบัดตาย เจ็บหลัง  ลมให้แสบอก  วาโยธาตุพิการ เตโชธาตุถอย  ลมแขนตาย  ลมอันทพฤกษ์  แขนซ้ายขวาผิดปกติ  ปัฎวีธาตุพิการ  อาโปธาตุถอย  ตะโพกตาย ลมเจ็บเอว  ลมอันทภาตย์ น่องสั่นมิหยุด  อยู่เพื่อตะคริว
เส้นสหัสรังษี   
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นสหัสรังษี ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือมาทางซ้ายมือ 3 นิ้ว แล่นไปที่ขาซ้ายด้านในถึงฝ่าเท้า แล่นผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า แล้วกลับมาที่สันหน้าแข้งซ้าย แล่นผ่านราวนมซ้าย รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกรไปสุดที่ ใต้ตาซ้าย เรียกว่า เส้นรากตาซ้าย
2 จุดเริ่มต้นอยู่ต่ำกว่าสะดือ ประมาณ 2 นิ้วมือ แล่นลงไปต้นขาด้านใน ลงไปตามหน้าแข้งด้านใน จนจดปลายเท้า ข้างซ้ายด้านใน และกระหวัด กลับมาทางหน้าแข้งด้านนอก ขึ้นไปต้นขา และกระหวัด กลับมาทาง ต้นขา ใกล้สะโพก ขึ้นไปตามชายโครง ซ้าย ด้านหน้า ผ่านหัวนม ไปใต้คางซ้าย ขึ้นไปยังใต้นัยน์ตาข้างซ้าย
3 มีตำแหน่งอยู่ข้างซ้ายของสะดือ ห่างออกไปประมาณ 2 นิ้ว และอยู่ห่างจากเส้นอิทา 1 นิ้ว อยู่ลึกลงไปประมาณ 2 และอยู่ห่างจากเส้นอิทาออกไป 1 นิ้ว แนวแล่นของเส้นดังนี้
-    แล่นลงไปที่ต้นขาซ้ายด้านใน
-    แล่นผ่านบริเวณข้างกระดูกข้อเข่าด้านใน
-    แล่นต่อลงไป ริมข้างกระดูก สันหน้าแข้งด้านใน ผ่านชิดหน้าแข้งถึงตาตุ่ม ด้านใน
-    แล่นผ่านริมฝ่าเท้าด้านในทั้งหมด วกผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า
-    และวก ผ่านริมฝ่าเท้าด้านใน วกผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า
-    และวกผ่านริมฝ่าเท้าด้านนอก ผ่านส้นเท้าด้านนอก
-    แล่นขึ้นผ่านบริเวณข้างกระดูกข้อเข่าด้านนอก
-    แล่นขึ้นแนวต้นขาด้านนอก วิ่งเข้าโคนขาด้านหน้า แล้วผ่านไปที่ท้อง
-    แล่นผ่านขึ้นไปบริเวณท้อง
-    แล่นขึ้นไปบริเวณนม ขึ้นผ่านลำคอด้านหน้า
-    และแล่นขึ้นไปบริเวณใบหน้าในบริเวณตาข้างซ้ายเข้าในโพรงตา

          เส้นสหัสรังษีกำเริบ  มีผลทำให้เกิดโรคและอาการดังนี้  ลมจักขุนิวาต และอัคคะนิวารคุณ ทำให้เจ็บกระบอกตา วิงเวียน  ลืมตาไม่ขึ้น สาเหตุอาจ เกิดจากการกินของมัน  หวาน เกินไป 
          เส้นสหัสรังษีด้านหน้า   กำเริบมีผลทำให้เกิดโรคและอาการดังนี้    ลมผิวจักษุแห้ง  ลมปดังมีพิศข้างซ้าย  ลมปวดหว่างคิ้ว ลมปวดหลังจักษุ  ลมจักษุแดง  ลมเกิดแต่ปอด อุธรวาตา  จักษุเพื่อเตโช ลมในจักษุเพื่อช้ำ
เส้นสหัสรังษีด้านหลัง    กำเริบ มีผลทำให้เกิดโรคและอาการดังนี้    ลมทำให้น้ำจักษุไหล  ลมให้แสบจักษุ  ลมให้จักษุวิ่ง  ลมจักษุเป็นกุ้งยิง ลมเบื้องต่ำให้หลับ ลมนอนมิหลับ ลมกระทำให้หลับ ลมให้เสียดจักษุ ลมขึ้นจักษุเพื่อกล่อน
 เส้นทุวารี  หรือ ทวารี,ตาขวา
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นทุวารี ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือ มาทางขวามือ 3 นิ้ว แล่นไปที่ขาขวาด้านในถึงฝ่าเท้า แล่นผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า แล้ววกกลับมาสันหน้าแข้งขวา แล่นผ่านราวนมขวา รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่ใต้ตาขวา เรียกว่า เส้นรากตาขวา
2 มีตำแหน่งอยู่ข้างขวาของสะดือ ห่างออกไป 2 นิ้ว และอยู่ห่างจากเส้นปิงคลา 1 นิ้ว อยู่ลึกลงประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นคล้ายกับเส้นสหัสรังสี แต่แล่นด้านขวา แนวแล่นของเส้นดังนี้
-    แล่นลงไปที่ต้นขาซวาด้านใน
-    แล่นผ่านบริเวณข้างกระดูกข้อเข่าด้านใน
-    แล่นต่อลงไป ริมข้างกระดูก สันหน้าแข้งด้านใน ผ่านชิดหน้าแข้งถึงตาตุ่ม ด้านใน
-    แล่นผ่านริมฝ่าเท้าด้านในทั้งหมด วกผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า
-    และวก ผ่านริมฝ่าเท้าด้านใน วกผ่านโคนนิ้วเท้าทั้งห้า
-    และวกผ่านริมฝ่าเท้าด้านนอก ผ่านส้นเท้าด้านนอก
-    แล่นขึ้นผ่านบริเวณข้างกระดูกข้อเข่าด้านนอก
-    แล่นขึ้นแนวต้นขาด้านนอก วิ่งเข้าโคนขาด้านหน้า แล้วผ่านไปที่ท้อง
-    แล่นผ่านขึ้นไปบริเวณท้อง
-    แล่นขึ้นไปบริเวณนม ขึ้นผ่านลำคอด้านหน้า
-    และแล่นขึ้นไปบริเวณใบหน้าในบริเวณตาข้างซวา เข้าในโพรงตา

          เส้นทุวารีกำเริบ มีผลให้เกิดโรคและอาการดังนี้    ตาลืมไม่ขึ้นวิงเวียน ปวดตามาก ถ้าทุวารีกำเริบ  ปวดตาทั้ง2 ข้างแต่บางครั้งเจ็บที่ข้างขวาข้างเดียว เรียกว่า ทิพจักขุขวา  ทำให้ตาพร่า มองไม่เห็นถ้าเส้นนี้ เป็นบ่อยๆจะเกิดเป็นโรคปัตคาตเกิดจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าวอันมันหวาน จัด บ่อยๆ                          
          เส้นทุวารีด้านหน้า   กำเริบมีผลให้เกิดโรคและอาการดังนี้   แก้จักษุขวา ลืมจักษุมิขึ้น ลมแสบจักษุ  ลมเคืองจักษุ ลมเขม่นจักษุ  ลมเกิดแต่ตับ ลมมิให้นอนหลับ ลมขึ้นจักษุเพื่อกล่อน 
เส้นจันทภูสัง  หรือ ลาวุสัง
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นจันทภูสัง ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องจากสะดือมาทางซ้าย 4 นิ้ว แล่นผ่านราวนมซ้าย รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่หูขวา เรียกว่า เส้นรากหูซ้าย
2 อยู่ที่ข้างซ้ายของสะดือ ห่างออกไป ประมาณ 3 นิ้ว อยู่ลกลงไปประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นดังนี้
-    แนวเส้นแล่นขึ้นไปราวนมข้างซ้าย
-    แล่นขึ้นผ่านก้านคอ แนบชิดก้านคอ
-    และแล่นขึ้นไปหลังหูเข้าไปในหูข้างซ้าย

เส้นจันทภูสัง   เมื่อกำเริบ หรือพิการมีผลทำให้เกิดโรคแทรกและอาการดังนี้ 
            เส้นจันทภูสังด้านหน้า   เมื่อกำเริบ หรือพิการมีผลทำให้เกิดโรคแทรกและอาการดังนี้   ลมในโสตหนัก ลมให้ปวดในโสต ลมโสตดั่งมะมี  ลมออกโสตให้คัน  ลมให้นอนมิหลับ ลมให้เบื่ออาหารไม่มีรส  ลมให้เมื่อยจำหระเบื้องซ้าย
เส้นจันทภูสังด้านหลัง    เมื่อกำเริบ หรือพิการมีผลทำให้เกิดโรคแทรกและอาการดังนี้    ลมโสตตึง  ลมปวดในโสต  ลมฮึงในโสต ลมบริโภคอาหารไม่มีรส  ลมให้เมื่อยจำหระเบื้องซ้าย ลมในดันในโสต  ลมนอนมิหลับ
          วิธีแก้ นวดใบหู ตามเส้นข้างต้น จำ ทำให้เรียกชื่ออื้ออึงหายแต่ถ้ายังไม่ได้ยิน เสียงแสดงว่า เกิดลมชื่อ ทาระกรรณ์ให้กลับมานวดที่สะเอวด้วยแล้วคลึงตามเส้นขึ้นไปใหม่พร้อมกับกินยา ประกอบกัน
เส้นรุทัง   หรือ อุรังกะ
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นรุทัง ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้อง จากสะดือมาทางขวามือ 4 นิ้ว แล่นผ่านราวนมขวา รอดไหปลาร้า รอดขากรรไกร ไปสุดที่หูขวา เรียกว่า เส้นรากหูขวา
2 อยู่ที่ข้างซวาของสะดือ ห่างออกไป ประมาณ 3 นิ้ว อยู่ลกลงไปประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นดังนี้
-    แนวเส้นแล่นขึ้นไปราวนมข้างขวา
-    แล่นขึ้นผ่านก้านคอ แนบชิดก้านคอ
-    และแล่นขึ้นไปหลังหูเข้าไปในหูข้างซวา

          เส้นรุทังเมื่อกำเริบหรือพิการมีผลให้เกิดโรคและอาการคือหูตึง ลมออกหู  เกิดลมชื่อคะพาหุ ทำให้มีอาการหูตึง 
          เส้นรุทังด้านหน้า    เมื่อกำเริบหรือพิการมีผลให้เกิดโรคและอาการคือ ลมให้โสตตึง  ลมปวดในโสต ลมฮึงในโสต  ลมดันในโสต  ลมนอนมิหลับ  ลมให้บริโภคอาหารไม่มีรส ลมให้เมื่อยให้เสียว จำหระเบื้องขวา
เส้นรุทังด้านหลัง    เมื่อกำเริบหรือพิการมีผลให้เกิดโรคและอาการคือ    ลมให้โสตหนัก ลมให้ปวดในโสต  ลมให้ฮึงในโสต  ลมให้นอนมิหลับ ลมให้คอแห้งหาน้ำเขละมิได้ แก้ลมให้เมื่อยจำหระเบื้องขวา ลมดันในโสต  
          วิธีแก้ นวดใบหู ตามเส้นข้างต้นจะทำให้เรียกชื่ออื้ออึงหาย แต่ถ้ายังไม่ได้ยินเสียงแสดงว่าเกิดลมชึ่งให้กลับมานวดที่สะเอวด้วยแล้วคลึงตามเส้นขึ้นไปใหม่พร้อมให้ยากิน ประกอบกัน
 
เส้นสิขินีหรือ คิชฌะ
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นสิขินี ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 3 นิ้ว เวลากดเยื้องขวาเล็กน้อยแล่นไปที่ทวารเบา
2 มีตำแหน่งต่ำ จากสะดือ ห่างลงมาประมาณ 2 นิ้ว และอยู่ลึก ลงไป ประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นออกไปดังนี้
-    แนวเส้นแล่นลงไปใน หัวเหน่า ไปที่องคชาติผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง จะเข้าไปในบริเวณ อวัยวะเพศหญิง

เส้นสิขินีกำเริบมีผลให้เกิดโรคและอาการคือ    เสียด สีข้าง ขับเบาปัสสาวะขุ่น เจ็บหัวเหน่าเกิดลมเรียก ราทยักษ์ เกิดจากเอ็น ขององคชาด ร้าว หม่นหมองเกิดเพราะน้ำกามถูกกั้นไว้ตกออกเวลากำหนัด  หรือน้ำกามก่อโทษ เกิดมีน้ำหนองไหล( หนองใน)สำหรับสตรี มีอาการจากปัญหาของโลหิต เกี่ยวกับมดลูก เกิดเจ็บท้องน้อย เจ็บสีข้างและเอว เส้นสิขินี  ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะระบบขับถ่ายของเสีย ไตท่อไต  กระเพาะปัสสาวะจุดสำคัญจะอยู่บริเวณท้อง ท้องน้อย  มีที่อก และขาบ้าง
          เส้นสิขินีด้านหน้า   กำเริบมีผลให้เกิดโรคและอาการคือ    ลมมุตกิต  ลมแสบปัสสาวะ ขบลำปัสสาวะ คันลำปัสสาวะ ปัสสาวะขาวขุ่น  ปัสสาวะแดง  ลมล่างลำปัสสาวะ ลมกระไสยกล่อน ลมให้เสียว ลมสำหรับบุรุษ  ลมอะติสารบูด ลมปัต.ฆาต  ลมสันฑฆาต  ลมมุตฆาต ลมองคสูตร ลมเสียวปัสสาวะ  ลมรัตฆาต ลมให้แสยงขน
เส้นสิขินีด้านหลัง   กำเริบมีผลให้เกิดโรคและอาการคือ    ลมคลุ้มคลั่ง ลมเบื่ออาหาร ลมให้เสียวคราวข้าง  ลมบวมน้ำหนองในกองปะระเมหะ  ลมบังเกิดในกองทุราวสา ลมปวดบุพโพ  ลมปัสสาวะดำ
          วิธีแก้ นวดเส้นที่ขวางเส้นดังกล่าว  แก้สะเอว  ตะโพก  นวดท้องน้อยให้คลาย  แล้ว แต่งยาให้รับประทาน
เส้นสุขุมัง หรือ นันทะกะหวัด
ผู้รู้ได้ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับแนวเส้นสุขุมัง ไว้ใกล้เคียงกันดังต่อไปนี้
1 ตั้งต้นที่กึ่งกลางท้องใต้สะดือ 3 นิ้ว ให้กดเยื้องซ้ายเล็กน้อยไปที่ทวารหนัก  
2 มีตำแหน่งอยู่ต่ำ จากสะดือ ห่างลงมา ประมาณ 1 นิ้ว อยู่ลึกลงไปประมาณ 2 นิ้ว แนวแล่นของเส้นดังนี้
-    แล่นลงไปบริเวณหัวเหน่า
-    แล้วแล่นกระหวัด (ขด) ทวารอุจจาระ
-    แล้วยังกระหวัด ทวารปัสสาวะ
  

เส้นสุขุมมัง    พิการมีผลให้เกิดโรคและอาการดังนี้   ตึงบริเวณทวารรับประทานอาหารเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกอึดอัดแน่นท้อง เส้นสุขุมังเกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายอุจจาระเป็นส่วนใหญ่ เป็นเส้นบริเวณ ทวารหนัก ฝีเย็บ ส่วนอาการอื่นที่อาจสืบเนื่องกันได้แก่ ประสาทวากัส ควบคุมอาเจียน  สะอึก  สะอื้น  การทำงานของกระบังลมการหอบเหนื่อย
           เส้นสุขุมังด้านหน้า    พิการมีผลให้เกิดโรคและอาการดังนี้    ไอเพื่อเสมหะ  ลมทำให้หอบ ลมทำให้เหนื่อย ลมเพื่อลง  ลมสอึก ลมทำให้สอื้น  อาโปกำเริบ  ลมให้ลงท้อง ลมเท้าเย็น  ลมอาเจียน มือบวม ลมอุจจาระมีกลิ่นร้าย ลมให้ปวดอุจจาระ  ลมกองอุจจาระธาตุ  ลมเข่าเพื่อลม ลมเมื่อยเบื้องต่ำ ลมบวมเท้า  ลมกองอะติสาร 
เส้นสุขุมังด้านหลัง   พิการมีผลให้เกิดโรคและอาการดังนี้     ลมให้หายใจขั้ง  ลมให้เรอ ลมให้หอบ  โสภะโรค มูกเลือด  อุจจาระธาตุพิการ  บรมอะติสาร กระหายน้ำ  ร้อนเกินกำหนด ลมให้เหนื่อย  ลมสอึก ราก  ลงโลหิต  ปวดเป็นบิด ลงอะติสารโรค  บาทเท้าทั้งสอง  ลมคูถทวารตึง  ปวดท้องสุขุมัง 
          วิธีแก้ นวดเส้นท้องน้อย  โดยกดให้รู้สึกเสียวไปที่ทวาร ทำให้ฝีเย็บถูกเผยออกเกิดการเบ่งอุจจาระ
ข้อมูลจาก  piakpatihan.com/watpo.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น