วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

กดจุด... รักษาถูกที่หมาย...ลดปวดเรื้อรัง

 การกดจุด ถือเป็นวิธีการบรรเทาอาการปวดเรื้อรังอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องรับประทานยา สามารถรักษาอาการปวดได้ตรงจุด ลดการปวดและป้องกันการเกิดซ้ำ โดยนำหลักสูตรแพทย์แผนไทยประยุกต์มาใช้ในการรักษา ซึ่งรักษาโดยการกดเฉพาะจุดในตำแหน่งที่มีปัญหาหรือกล้ามเนื้อที่มีความ เชื่อมโยงกันจนทำให้เกิดอาการปวด

การกดจุด เป็น การกดกล้ามเนื้อมัดลึก โดยจะมีการซักประวัติ ตรวจร่างกายและเช็กกล้ามเนื้อคนไข้ก่อน เพื่อประเมินว่าจะรักษาโดยวิธีการกดจุดได้หรือไม่ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แนะ นำให้เข้ารับการรักษา คือ ผู้ป่วยที่ เป็นโรคผิวหนังทุกชนิดที่สามารถจะติดต่อผู้อื่นได้ คนไข้ที่มีภาวะของมะเร็งต่าง ๆ คนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกจะต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป และในส่วนของกระดูกแตก กระดูกร้าว จะไม่แนะนำให้เข้ารับรักษาเช่นกัน
   
สำหรับคนไข้ที่เป็นเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง สามารถเข้ารับการรักษาโดยการกดจุดได้ แต่ต้องตรวจสภาพความพร้อมของร่างกายทุกครั้ง โดยจะเข้ารับการรักษาอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 40-45 นาที ซึ่งคนไข้จะรู้สึกเจ็บในช่วง 15-20 นาทีแรก จากนั้นจะรู้สึกสบายตัวขึ้น ถ้ากล้ามเนื้อมีการปรับตัวหรือคลายตัวลง โดยแพทย์จะกดลงจุดให้คนไข้แต่ละคนไม่เท่ากัน โดยจะประเมินตามสภาพกล้ามเนื้อของคนไข้ว่าจะรับน้ำหนักได้มากน้อยเพียงใด หลังจากนั้น ถ้าสภาพกล้ามเนื้อคลายตัวได้เร็วขึ้นก็จะรู้สึกดีขึ้นอาการปวดจะลดลง
 
โดยปกติกล้ามเนื้อของคนทั่วไปจะไม่มีก้อน แต่กลุ่มคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังกล้ามเนื้อจะเป็นก้อน ในขณะที่การรักษาเมื่อกดจุดลงไปจะคลำเจอก้อนเนื้อจนคนไข้รู้สึกได้เลยว่า ตำแหน่งที่กำลังกดจุดอยู่นั้นมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ โดยก้อนเนื้อที่ทำให้ปวดเรื้อรังนี้ไม่ใช่ซีสต์ ไม่ใช่ก้อนมะเร็ง แต่เป็นพังผืดในมัดกล้ามเนื้อที่มีภาวะหดเกร็งสะสมแล้วแทรกอยู่ในมัดกล้าม เนื้อ ซึ่งแสดงออกมาในภาวะที่เป็นก้อนเกร็งขึ้นมา ทำให้คนไข้เกิดอาการปวด
 
“การกดจุดนี้ก็เพื่อให้พังผืดที่มีการเกาะรั้งในตำแหน่งมัดกล้ามเนื้อข้าง ๆได้มีการคลายตัวแล้วก็มีการหลุดออกจากตำแหน่งที่เกาะในบางส่วน หลังจากนั้นเลือดจะเป็นตัวย่อยสลายเอง เนื่องจากเลือดเป็นตัวย่อยสลายพังผืดในมัดกล้ามเนื้อที่ดีที่สุด ซึ่งการกดจุดจะเป็นการกระตุ้นทำให้เลือดมีการฉีดตัวได้แรงขึ้น มีการปั๊มได้แรงขึ้น ทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงส่วนที่เป็นก้อนได้ดีมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการรักษาเพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล”
 
ลักษณะการกดไม่ได้กดนิ่ง แต่จะกดแล้วขยับไปรอบ ๆ ก้อนเนื้อ หรือรอบ ๆ กล้ามเนื้อที่มีปัญหา โดยก้อนเนื้อไม่ได้สลายไปเลยทีเดียวแต่ก้อนเนื้อจะนิ่มลง กล้ามเนื้อที่มีภาวะหดเกร็งอยู่ได้คลายตัวลง เลือดจะเข้าไปเลี้ยงได้ดีขึ้น แต่ในกรณีที่เมื่อกดไปแล้วกล้ามเนื้อยังเกร็งอยู่จะพบในคนไข้ที่กินยาแก้ปวด มานานเป็นเวลา 8-10 ปี จึงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ยาก ในกรณีเช่นนี้จะต้องใช้เวลาในการกดจุดนานกว่าคนไข้ที่เพิ่งเป็น 2-3 ปี
 
ระยะการรักษาขึ้นอยู่กับอาการปวดของคนไข้แต่ละคน ส่วนใหญ่เข้ารักษา 2 เดือนก็จะเห็นผล โดยอาการจะดีขึ้นแต่ไม่ได้หายจากอาการปวดเรื้อรัง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการรักษาให้ดีขึ้นได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับการดูแลตน เองของคนไข้ว่าจะมีการเปลี่ยน แปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้องในแต่ละวันได้หรือไม่ เช่น ไม่นั่งในท่าเดิมนาน ๆ หรือแม้แต่สะพายกระเป๋าหนัก ๆ บนบ่าเป็นประจำโดยไม่เปลี่ยนข้างสะพาย ไม่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ รวมทั้ง ต้องหมั่นบริหารยืดกล้ามเนื้อร่วมด้วยโดยแพทย์จะสอนหลังจากเข้ารับการรักษา โดยการกดจุดแล้ว ซึ่งเป็นการฝึกบริหารกล้ามเนื้อในระหว่างวันไม่ให้อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อกลับมาหดเกร็งเหมือนเดิม
 
การดูแลตนเองเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง สามารถทำได้โดยมีการพักเพื่อยืดกล้ามเนื้อบ้าง 5-10 นาที ทุก ๆ 1 ชั่วโมง โดยการหมุนแขนเบา ๆ หรือจะเป็นท่าหันหน้าซ้ายให้สุดนับ 1-10 จากนั้นสลับเป็นด้านขวานับ 1-10 ทำสลับซ้ายขวา 5-10 ครั้ง รวมทั้ง เอามือดึงศีรษะไปด้านข้าง ซ้าย-ขวา นับ 1-10 ทำสลับกัน 5-10 ครั้งเช่นกัน โดยการทำทุกท่าจะต้องไม่ฝืน ถ้ารู้สึกตึงก็ปล่อยกลับสู่สภาพปกติ ก็จะเป็นการยืดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดได้.

..........................................

งดบริโภคเนื้อสัตว์เทศกาลกินเจ ช่วยดีท็อกซ์สารพิษ - เคล็ดลับสุขภาพดี

เทศกาลกินเจเป็นเทศกาลหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้คนเราได้งดการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งนอกจากจะได้บุญแล้วยังดีต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีรับประ ทานอาหารเจเพื่อดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายทำให้ห่างไกลโรคร้าย ๆ มาฝากกันค่ะ
 
ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ศูนย์ข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพเปิดเผยว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช ดังนั้นระบบอาหารของมนุษย์จึงเหมาะสำหรับการย่อยจำพวกพืช ผัก ผลไม้ แต่เรามักชอบรับประทานเนื้อสัตว์กันเสียมากกว่าจึงทำให้ใช้เวลาในการย่อยนาน ถึง 7 วัน ทำให้เกิดการหมักหมมในลำไส้บูดเน่า เกิดเป็นแก๊สพิษสะสมและตกค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายก็ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมา สำหรับอาการของคนที่มีสารพิษตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด ปวดเมื่อยไหล่ คอ อ่อนเพลีย ง่วงนอน ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก เป็นต้น การลด ละ เลิกรับประทานเนื้อสัตว์จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดสารพิษในร่างกาย
 
ในช่วงเทศกาลกินเจมีหนุ่มสาวสมัยใหม่หันมาเลิกทานเนื้อสัตว์มากขึ้นทุกปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำบุญแล้วยังเป็นการดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายอีกทางหนึ่ง ด้วย เพราะการลด ละ เลิกทานเนื้อสัตว์จะช่วยทำให้ลำไส้ในร่างกายได้พักและล้างสารพิษที่ตก ค้างอยู่ในร่างกายและการทานผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ ทดแทนจะช่วยเพิ่มกากใยอาหาร ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในทุกมื้ออาหาร ได้แก่ ส้มโอ แก้วมังกร สับปะรด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
อย่างไรก็ตามเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินจากผลไม้อย่างเต็มที่ควรกินผลไม้ ก่อนรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันหรือแป้งจำนวนมากรวมถึงอาหารที่มีรสหวาน หลังรับประทานไม่ควรดื่มน้ำทันที (ดื่มแก้ติดคอเล็กน้อย) ควรเว้นระยะห่างประมาณ 15 นาที เพื่อให้น้ำย่อยทำงานในการย่อยได้อย่างเต็มที่ และควรหาโอกาสล้างสารพิษในร่างกายด้วยการจัดมื้ออาหารแต่ละมื้อเป็นพวกผัก และผลไม้สด โดยไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงแต่ง    ใด ๆ นานประมาณ 1 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำได้ตลอดสัปดาห์อาจใช้วิธีการบริโภคแต่ผักและผลไม้สด แบบไม่ผ่านความร้อน ไม่ผสมเนื้อสัตว์หรือส่วนประกอบของเนื้อสัตว์และสารปรุงแต่งจำนวน 1-2 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ระบบย่อยได้หยุดพัก กระตุ้นให้กระบวนการขับสารพิษทำงานมากขึ้น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ ให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องที่สะอาดตามมาก ๆ เพื่อเป็นการปรับสมดุลแก่ร่างกายและควรทำเป็นประจำเดือนละ 1 ครั้ง
 
การงดบริโภคเนื้อสัตว์เป็นช่วง ๆ จะช่วยทำให้ร่างกายได้ปรับสมดุลและปรับระบบการย่อยอาหาร ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกช่วงเวลาและทุกโอกาสตามความสะดวก เพื่อให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดีปราศจากสารพิษตกค้างและห่างไกลจากโรค เรื้อรัง ต่าง ๆ ที่จะตามมาค่ะ



จาก เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น