การกดจุด
ถือเป็นวิธีการบรรเทาอาการปวดเรื้อรังอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องรับประทานยา
สามารถรักษาอาการปวดได้ตรงจุด ลดการปวดและป้องกันการเกิดซ้ำ
โดยนำหลักสูตรแพทย์แผนไทยประยุกต์มาใช้ในการรักษา
ซึ่งรักษาโดยการกดเฉพาะจุดในตำแหน่งที่มีปัญหาหรือกล้ามเนื้อที่มีความ
เชื่อมโยงกันจนทำให้เกิดอาการปวด
การกดจุด เป็น การกดกล้ามเนื้อมัดลึก โดยจะมีการซักประวัติ
ตรวจร่างกายและเช็กกล้ามเนื้อคนไข้ก่อน
เพื่อประเมินว่าจะรักษาโดยวิธีการกดจุดได้หรือไม่ กลุ่มผู้ป่วยที่ไม่แนะ
นำให้เข้ารับการรักษา คือ ผู้ป่วยที่
เป็นโรคผิวหนังทุกชนิดที่สามารถจะติดต่อผู้อื่นได้
คนไข้ที่มีภาวะของมะเร็งต่าง ๆ
คนไข้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกจะต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป
และในส่วนของกระดูกแตก กระดูกร้าว จะไม่แนะนำให้เข้ารับรักษาเช่นกัน
สำหรับคนไข้ที่เป็นเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง
สามารถเข้ารับการรักษาโดยการกดจุดได้
แต่ต้องตรวจสภาพความพร้อมของร่างกายทุกครั้ง
โดยจะเข้ารับการรักษาอาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 40-45 นาที
ซึ่งคนไข้จะรู้สึกเจ็บในช่วง 15-20 นาทีแรก จากนั้นจะรู้สึกสบายตัวขึ้น
ถ้ากล้ามเนื้อมีการปรับตัวหรือคลายตัวลง
โดยแพทย์จะกดลงจุดให้คนไข้แต่ละคนไม่เท่ากัน
โดยจะประเมินตามสภาพกล้ามเนื้อของคนไข้ว่าจะรับน้ำหนักได้มากน้อยเพียงใด
หลังจากนั้น
ถ้าสภาพกล้ามเนื้อคลายตัวได้เร็วขึ้นก็จะรู้สึกดีขึ้นอาการปวดจะลดลง
โดยปกติกล้ามเนื้อของคนทั่วไปจะไม่มีก้อน
แต่กลุ่มคนไข้ที่มีอาการปวดเรื้อรังกล้ามเนื้อจะเป็นก้อน
ในขณะที่การรักษาเมื่อกดจุดลงไปจะคลำเจอก้อนเนื้อจนคนไข้รู้สึกได้เลยว่า
ตำแหน่งที่กำลังกดจุดอยู่นั้นมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ
โดยก้อนเนื้อที่ทำให้ปวดเรื้อรังนี้ไม่ใช่ซีสต์ ไม่ใช่ก้อนมะเร็ง
แต่เป็นพังผืดในมัดกล้ามเนื้อที่มีภาวะหดเกร็งสะสมแล้วแทรกอยู่ในมัดกล้าม
เนื้อ ซึ่งแสดงออกมาในภาวะที่เป็นก้อนเกร็งขึ้นมา ทำให้คนไข้เกิดอาการปวด
“การกดจุดนี้ก็เพื่อให้พังผืดที่มีการเกาะรั้งในตำแหน่งมัดกล้ามเนื้อข้าง
ๆได้มีการคลายตัวแล้วก็มีการหลุดออกจากตำแหน่งที่เกาะในบางส่วน
หลังจากนั้นเลือดจะเป็นตัวย่อยสลายเอง
เนื่องจากเลือดเป็นตัวย่อยสลายพังผืดในมัดกล้ามเนื้อที่ดีที่สุด
ซึ่งการกดจุดจะเป็นการกระตุ้นทำให้เลือดมีการฉีดตัวได้แรงขึ้น
มีการปั๊มได้แรงขึ้น ทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงส่วนที่เป็นก้อนได้ดีมากขึ้น
ซึ่งเป็นกลไกที่สำคัญในการรักษาเพื่อให้ร่างกายกลับมาสู่สภาวะสมดุล”
ลักษณะการกดไม่ได้กดนิ่ง แต่จะกดแล้วขยับไปรอบ ๆ ก้อนเนื้อ หรือรอบ ๆ
กล้ามเนื้อที่มีปัญหา
โดยก้อนเนื้อไม่ได้สลายไปเลยทีเดียวแต่ก้อนเนื้อจะนิ่มลง
กล้ามเนื้อที่มีภาวะหดเกร็งอยู่ได้คลายตัวลง เลือดจะเข้าไปเลี้ยงได้ดีขึ้น
แต่ในกรณีที่เมื่อกดไปแล้วกล้ามเนื้อยังเกร็งอยู่จะพบในคนไข้ที่กินยาแก้ปวด
มานานเป็นเวลา 8-10 ปี จึงทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวได้ยาก
ในกรณีเช่นนี้จะต้องใช้เวลาในการกดจุดนานกว่าคนไข้ที่เพิ่งเป็น 2-3 ปี
ระยะการรักษาขึ้นอยู่กับอาการปวดของคนไข้แต่ละคน ส่วนใหญ่เข้ารักษา 2
เดือนก็จะเห็นผล โดยอาการจะดีขึ้นแต่ไม่ได้หายจากอาการปวดเรื้อรัง 100
เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการรักษาให้ดีขึ้นได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 20
เปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับการดูแลตน เองของคนไข้ว่าจะมีการเปลี่ยน
แปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ถูกต้องในแต่ละวันได้หรือไม่ เช่น
ไม่นั่งในท่าเดิมนาน ๆ หรือแม้แต่สะพายกระเป๋าหนัก ๆ
บนบ่าเป็นประจำโดยไม่เปลี่ยนข้างสะพาย ไม่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาหนัก ๆ
รวมทั้ง
ต้องหมั่นบริหารยืดกล้ามเนื้อร่วมด้วยโดยแพทย์จะสอนหลังจากเข้ารับการรักษา
โดยการกดจุดแล้ว
ซึ่งเป็นการฝึกบริหารกล้ามเนื้อในระหว่างวันไม่ให้อยู่ท่าเดิมเป็นเวลานาน
เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อกลับมาหดเกร็งเหมือนเดิม
การดูแลตนเองเพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง
สามารถทำได้โดยมีการพักเพื่อยืดกล้ามเนื้อบ้าง 5-10 นาที ทุก ๆ 1 ชั่วโมง
โดยการหมุนแขนเบา ๆ หรือจะเป็นท่าหันหน้าซ้ายให้สุดนับ 1-10
จากนั้นสลับเป็นด้านขวานับ 1-10 ทำสลับซ้ายขวา 5-10 ครั้ง รวมทั้ง
เอามือดึงศีรษะไปด้านข้าง ซ้าย-ขวา นับ 1-10 ทำสลับกัน 5-10 ครั้งเช่นกัน
โดยการทำทุกท่าจะต้องไม่ฝืน ถ้ารู้สึกตึงก็ปล่อยกลับสู่สภาพปกติ
ก็จะเป็นการยืดกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวดได้.
..........................................
งดบริโภคเนื้อสัตว์เทศกาลกินเจ ช่วยดีท็อกซ์สารพิษ - เคล็ดลับสุขภาพดี
เทศกาลกินเจเป็นเทศกาลหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้คนเราได้งดการบริโภคเนื้อสัตว์
ซึ่งนอกจากจะได้บุญแล้วยังดีต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย
วันนี้เคล็ดลับสุขภาพดีมีวิธีรับประ
ทานอาหารเจเพื่อดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายทำให้ห่างไกลโรคร้าย ๆ มาฝากกันค่ะ
ไลฟ์ เซ็นเตอร์ ศูนย์ข้อมูลความรู้ด้านสุขภาพเปิดเผยว่า
มนุษย์เราเป็นสัตว์กินพืช
ดังนั้นระบบอาหารของมนุษย์จึงเหมาะสำหรับการย่อยจำพวกพืช ผัก ผลไม้
แต่เรามักชอบรับประทานเนื้อสัตว์กันเสียมากกว่าจึงทำให้ใช้เวลาในการย่อยนาน
ถึง 7 วัน ทำให้เกิดการหมักหมมในลำไส้บูดเน่า
เกิดเป็นแก๊สพิษสะสมและตกค้างอยู่ในร่างกาย
เมื่อมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายก็ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ ตามมา
สำหรับอาการของคนที่มีสารพิษตกค้างสะสมอยู่ในร่างกาย เช่น ปวดศีรษะบ่อย
หงุดหงิด ปวดเมื่อยไหล่ คอ อ่อนเพลีย ง่วงนอน ไม่มีสมาธิ เบื่ออาหาร
ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก เป็นต้น การลด ละ
เลิกรับประทานเนื้อสัตว์จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดสารพิษในร่างกาย
ในช่วงเทศกาลกินเจมีหนุ่มสาวสมัยใหม่หันมาเลิกทานเนื้อสัตว์มากขึ้นทุกปี
ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำบุญแล้วยังเป็นการดีท็อกซ์สารพิษในร่างกายอีกทางหนึ่ง
ด้วย เพราะการลด ละ
เลิกทานเนื้อสัตว์จะช่วยทำให้ลำไส้ในร่างกายได้พักและล้างสารพิษที่ตก
ค้างอยู่ในร่างกายและการทานผัก ผลไม้ และธัญพืชต่าง ๆ
ทดแทนจะช่วยเพิ่มกากใยอาหาร
ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงในทุกมื้ออาหาร ได้แก่ ส้มโอ
แก้วมังกร สับปะรด เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินจากผลไม้อย่างเต็มที่ควรกินผลไม้
ก่อนรับประทานอาหาร
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันหรือแป้งจำนวนมากรวมถึงอาหารที่มีรสหวาน
หลังรับประทานไม่ควรดื่มน้ำทันที (ดื่มแก้ติดคอเล็กน้อย)
ควรเว้นระยะห่างประมาณ 15 นาที
เพื่อให้น้ำย่อยทำงานในการย่อยได้อย่างเต็มที่
และควรหาโอกาสล้างสารพิษในร่างกายด้วยการจัดมื้ออาหารแต่ละมื้อเป็นพวกผัก
และผลไม้สด โดยไม่ผ่านความร้อนหรือการปรุงแต่ง ใด ๆ นานประมาณ 1 สัปดาห์
สำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำได้ตลอดสัปดาห์อาจใช้วิธีการบริโภคแต่ผักและผลไม้สด
แบบไม่ผ่านความร้อน
ไม่ผสมเนื้อสัตว์หรือส่วนประกอบของเนื้อสัตว์และสารปรุงแต่งจำนวน 1-2
วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ระบบย่อยได้หยุดพัก
กระตุ้นให้กระบวนการขับสารพิษทำงานมากขึ้น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ
ให้ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องที่สะอาดตามมาก ๆ
เพื่อเป็นการปรับสมดุลแก่ร่างกายและควรทำเป็นประจำเดือนละ 1 ครั้ง
การงดบริโภคเนื้อสัตว์เป็นช่วง ๆ
จะช่วยทำให้ร่างกายได้ปรับสมดุลและปรับระบบการย่อยอาหาร
ซึ่งเราสามารถทำได้ทุกช่วงเวลาและทุกโอกาสตามความสะดวก
เพื่อให้ร่างกายของเรามีสุขภาพดีปราศจากสารพิษตกค้างและห่างไกลจากโรค
เรื้อรัง ต่าง ๆ ที่จะตามมาค่ะ
จาก เดลินิวส์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น