วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

ศิลปะบำบัดของเรกิ: Healing กับพลังจักรวาล

เรกิ ความหมายและความเป็นมา
    “เรกิ” (Reiki) เป็นคำในภาษาญี่ปุ่น โดย เร นั้นอาจหมายถึง ความรู้ทางจิต จิตวิญญาณที่ได้รับการอบรม หรือจักรวาล ส่วน กิ หมายถึง พลัง ลมหายใจ หรือความมีชีวิต ซึ่งเป็นความหมายเดียวกับคำว่าชี่ ในภาษาจีน และคำว่าปราณ ในภาษาสันสกฤต เมื่อมารวมกันแล้ว เรกิ จึงหมายถึง พลังชีวิตจากจักรวาล

บันทึกความเป็นมาของเรกิ
    เรกิ เป็นการบำบัดรูปแบบหนึ่งที่ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน จากการค้นคว้าของ ดร.มิคาโอะ อุซูอิ (Dr.Mikao Usui) ชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา ศาสนา และธรรมชาติบำบัด โดยมีรากฐานมาจากแนวทางปฏิบัติของลามะทิเบต ที่นำพลังจากธรรมชาติมาใช้ฝึกจิตให้สงบเพื่อเข้าสู่สภาวธรรม และได้เผยแพร่สู่พุทธศาสนานิกายมหายาน ในแถบประเทศจีนและญี่ปุ่น
    ดร.อุซูอิ ได้นำสิ่งที่ตนรู้มาเผยแพร่เพื่อเป็นแนวทางบำบัดโรคตามธรรมชาติ โดยมีลูกศิษย์คนสำคัญ คือ นายแพทย์จุชิโร ฮายาชิ แพทย์นาวิกโยธิน ผู้พัฒนาเรกิบำบัดจนเป็นรูปเป็นร่างในปัจจุบัน และอีกท่านซึ่งมีส่วนในการเผยแผ่เรกิไปทั่วโลกคือ คุณฮาวาโยะ โทคาตะ สตรีชาวญี่ปุ่นในฮาวายผู้โดนรุมเร้าด้วยโรคภัย  จนได้มาพบเรกิบำบัดบนแผ่นดินเกิด ช่วยเยียวยาเธอจนหายดี และเพื่อช่วยให้คนอื่นหายจากโรคเช่นเดียวกับเธอ โทคาตะจึงนำเรกิบำบัดไปเผยแผ่ยังสหรัฐอเมริกา ทำให้เรกิเป็นที่รู้จักในวงกว้างจนถึงทุกวันนี้
    จากผลงานของบรมครูเรกิทั้ง 3 ท่าน เป็นที่คาดหมายว่าปัจจุบันมีผู้ใช้เรกิบำบัดกว่าล้านคน และมีเรกิมาสเตอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านเรกิอีกกว่า 50,000 คนทั่วโลก
    ซึ่งนอกจากเรกิมาตรฐานสายตรงจากดร.อุซูอิ ยังมีเรกิสายอื่นแตกแขนงออกมาอีกมากมาย เช่น เรกิสายยุโรป หรือเคลติก เรกิ
Celtic Reiki เรกิสายยุโรป
    เคลติก เรกิ (Celtic Reiki) เป็นเรกิในแบบฉบับชาวยุโรปเชื้อสายเคลป์ ที่ผสมผสานระหว่างเรกิมาตรฐานกับความเชื่อเรื่องพลังธรรมชาติ เรกิสายนี้มีความเชื่อว่าเราสามารถรับพลังงานจากจักรวาลได้ผ่านทางต้นไม้ 25 ชนิด เช่น เฟอร์ เบิร์ช ฮอว์ธอร์น วิลโลว์ ไอวี่ และฮันนี้ซัคเกิ้ล โดยการสัมผัสต้นไม้หรือแวดล้อมไปด้วยต้นไม้เหล่านี้ จะทำให้ได้รับพลังจักรวาลและบำบัดอาการต่างๆ ได้ตามแต่คุณสมบัติของต้นไม้แต่ละชนิด
    หากอยากลองสัมผัสพลังธรรมชาติตามแบบเคลติก เรกิ ลองนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ๆ หรือสัมผัสลำต้นของต้นไม้ดู  แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าช่วยบำบัดอาการต่างๆ ได้จริงเท็จแค่ไหน แต่ออกซิเจนที่ต้นไม้คายออกสู่บรรยากาศและพลังอื่นๆ ที่แผ่ออกสู่ร่มเงาไม้ล้วนมีส่วนให้เกิดความสุข สงบ และสดชื่นที่รู้สึกได้เช่นกัน
เอกลักษณ์ของเรกิ
    เรกิ เป็นการบำบัดที่มีเอกลักษณ์และจุดเด่นตรงที่ไม่ใช่ศาสนา หรือลัทธิ ไม่มีข้อห้าม ไม่มีผลข้างเคียง และไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการบำบัด สิ่งเดียวที่ผู้ทำเรกิและผู้รับการบำบัดต้องมี คือ ความเชื่อในพลังธรรมชาติและยึดกฎ 5 ข้อ (Principle of Reiki) อันเป็นแนวปฏิบัติซึ่งคล้ายคลึงกับคำสอนในพุทธศาสนา ได้แก่
  1. ฉันจะไม่โกรธ
  2. ฉันจะไม่กังวล
  3. ฉันจะสวดมนตร์ภาวนา
  4. ฉันจะทำงาน (ด้านพัฒนา จิตวิญญาณ) อย่างซื่อสัตย์
  5. ฉันจะมีเมตตาต่อทุกสรรพชีวิตบนโลก
โดยกฎทั้ง 5 ข้อมีพื้นฐานสำคัญว่า ต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่กังวลเรื่องอนาคตหรือจมอยู่กับอดีต
เรกิบำบัดทำอย่างไร
    เรกิ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับใช้เสริมการรักษาโรคร่วมกับวิธีทางการแพทย์แผน ปัจจุบัน ในการทำเรกิผู้ป่วยจะต้องได้รับการบำบัดโดยเรกิ มาสเตอร์ ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งผ่านพลังจากจักรวาลเข้าสู่จักระทั้ง 7 จุดในร่างกาย อันได้แก่ 1.กระหม่อม (crown chakra) 2.หว่างคิ้ว (3rd eye chakra) 3.คอ (throat chakra) 4.หัวใจ (heart chakra) 5.ลิ้นปี่ (solar plexus chakra) 6.ส่วนท้อง ใต้สะดือลงไป 2 นิ้ว (sacral chakra) 7.อวัยวะเพศ (root chakra) เพื่อปรับสมดุลทางเคมี ในร่างกายให้ทำงานเป็นปกติ
    โดยเรกิ มาสเตอร์ ที่ผ่านการฝึกฝนและเปิดจักระแล้วจะสามารถรับพลังจักรวาลผ่านการทำสมาธิ และส่งผ่านพลังนั้นทางฝ่ามือเพื่อให้คลื่นพลังไหลเวียนทั่วร่างกายผู้ป่วย ใช้เวลาราว 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับอาการเจ็บป่วยของแต่ละคน ลองนึกภาพการถ่ายพลังรักษาโรคที่พบเห็นได้ในหนังจีนกำลังภายใน นั่นเป็นวิธีที่คล้ายกับการทำเรกิมากค่ะ
    อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยอาจศึกษาเรกิ เพื่อบำบัดตนเองได้เช่นกัน โดยการเรียนมี 3 ระดับ เริ่มตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ที่สามารถนำพลังจักรวาลมาดูแลตนเองและผู้อื่นได้ โดยเรกิมาสเตอร์จะเปิดจักระให้ผู้เรียนก่อน และสอนตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของเรกิ ตลอดจนการทำสมาธิ การดูออร่า และการถ่ายทอดพลังจักรวาล ระดับพัฒนา จะเป็นการเรียนรู้สัญลักษณ์เพื่อนำพลังจักรวาลมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นรวมทั้งเพื่อใช้ขจัดพลังไม่ดีออกจากสถานที่บำบัด และระดับสูงหรือมาสเตอร์ เป็นเรกิขั้นสูงสุดที่สามารถเปิดจักระให้ผู้อื่นได้

เรกิกับวิทยาศาสตร์และการแพทย์
    ปัจจุบัน เรกิบำบัด นิยมใช้ในหลายประเทศทั่วโลกเพื่อช่วยในการรักษาโรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis) รวมทั้งความเครียดและอาการแพนิก เพราะการบำบัดจะเข้าไปปรับสมดุลพลังงานในร่างกายให้ระบบต่างๆ ทำงานดีขึ้น   
    โดยในประเทศสหรัฐอเมริกามีการทดลองมากมายเกี่ยวกับการใช้เรกิบำบัดผู้ป่วย  ตัวอย่างเช่น การทดลองโดยทีมนักวิจัยจาก University of Texas Houston Health Science Center  ซึ่งทดสอบวัดอุณหภูมิ  ความดันโลหิต และการตอบสนองของกล้ามเนื้อผู้ป่วยที่ทำเรกิบำบัด  ผลการวิจัยสรุปว่าผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย และมีภูมิต้านทานสูงขึ้น  จากการไหลเวียนโลหิตที่สมดุลและความดันโลหิตอยู่ในระดับปกติ  และปริมาณน้ำลายที่เพิ่มขึ้น 
    อีกหนึ่งการทดลองที่น่าสนใจโดยมหาวิทยาลัยเยล คือ การทดสอบกับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 20 ราย โดยให้ผู้ป่วย 10 รายใช้เรกิบำบัดควบคู่กับการรักษาตามปกติ ส่วนอีก 10 รายใช้วิธีรักษาตามปกติ  พบว่า  ผู้ป่วยกลุ่มแรกมีอาการดีขึ้นกว่ากลุ่มที่สองมาก โดยผู้ป่วยเริ่มแข็งแรงขึ้นและตอบสนองต่อการรักษาทางทางการ
เรกิในเมืองไทย
    ปัจจุบัน เรกิในเมืองไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายและถือว่าค่อนข้างใหม่ อีกทั้งยังมีคนเพียงจำนวนไม่มากที่รู้จักและใช้เรกิเพื่อบำบัดโรค โดยมากจะพบการบำบัดเรกิได้ในสปาชั้นนำ ศูนย์สุขภาพ หรือสถาบันแพทย์ทางเลือกแบบองค์รวม ที่ให้บริการเรกิร่วมกับการบำบัดแบบต่างๆ

เพิ่มเติม:


ความหมายเรกิ
เร กิเป็นภาษาญี่ปุ่น “เร” อาจหมายถึง ความรู้ทางจิตธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ พลังจิตแห่งจักรวาล พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ หรืออาจหมายถึง องค์ความรู้ของพระเจ้าต่อสรรพสิ่งต่างๆ เพื่อการเข้าใจความเป็นคนเราอย่างสมบูรณ์ ส่วน “กิ” หมายถึง พลังชีวิต (life force) มีความหมายเช่นเดี่ยวกับ ฉี ในภาษาจีน หรือ ปราณ ในภาษาสันสกฤต หรือมานา ในภาษาดั้งเดิมของฮาวาย

เรกิ หมายถึง พลังชีวิตแห่งจักรวาล (universal life force) โดยมี “เร” ทำหน้าที่ในการนำทางพลังชีวิตที่เรียกว่า “กิ” ไปสู่การปฏิบัติ แนวความคิดของผู้ปฏิบัติระบบนี้เชื่อว่าเรกิมีคุณสมบัติที่จะนำตัวเองในการ ทำงาน หรือพลังเรกิมีปัญญาแห่งตนที่ไม่ตอบสนองต่อการเหนี่ยวนำหรือความสุขุมด้าน จิตของผู้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติเรกิผู้ปฏิบัติไม่ต้องใช้จิตเพื่อชี้นำพลังไปตามบริเวณที่บำบัด

ในปัจจุบันพบว่ามีผู้เยียวยาหลายคนที่ใช้พลังบำบัด แต่เป็นเพียงการใช้พลังชีวิตทั่วคือ กิ ในการเยียวยา การบำบัดโดยใช้ “กิ” นั้น เกิดจากจิตผู้ปฏิบัติเป็นตัวกำหนดการเคลื่อนไหวของพลัง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ระบบเรกิผู้ปฏิบัติที่ใช้พลังเทคนิคการบำบัดด้วยพลัง รูปแบบอื่นสามารถเรียนรู้ระบบเรกิได้เพื่อพัฒนาศักยภาพในการบำบัด จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่าบุคคลเหล่านี้เมื่อเรียนรู้ระบบเรกิเพิ่มเติม สามารถพัฒนาการรับรู้พลังที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ความแตกต่างของเรกิจากระบบการบำบัดอื่นคือ ระบบการถ่ายทอดความรู้เรกิ กล่าวคือ ผู้ศึกษาต้องได้รับปรับพลังเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงตัวเองกับแหล่ง พลังงานเรกิที่มีอยู่ในจักรวาล

เรกิไม่ใช่ศาสนา เรกิเป็นเรื่องของจิตที่เป็นธรรมชาติ เรกิจึงไม่ใช่หลักการด้านศาสนาหรือลัทธิ ไม่มีความเชื่อหรือระบบพิธีกรรมที่ต้องปฏิบัติระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนระบบความเชื่อเชิงศาสนาเดิมเมื่อตัดสิน ใจเรียนรู้เรกิ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีความศรัทธาตามศาสนาที่ตนนับถือให้ข้อมูลว่าพวกเขามี ความก้าวหน้าในการปฏิบัติตามความเชื่อมากขึ้นเมื่อเรียนรู้และฝึกการบำบัด ระบบเรกิอย่างสม่ำเสมอ

เรกิไม่มีอันตราย การค้นคว้าเอกสารและประสบการณ์การใช้เรกิไม่พบข้อมูลที่เกี่ยวกับอันตราย หรือภาวะแทรกซ้อนจากการบำบัดระบบเรกิ เพราะผู้ปฏิบัติไม่ได้สั่งการเยียวยาใด ๆ และไม่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษา เพราะผู้ปฏิบัติไม่ใช่ผู้รักษาแต่เป็นเพียงช่องทางให้พลังเรกิผ่านไปยังผู้ ป่วยเพื่อให้เกิดการปรับสมดุลในร่างกายของผู้ป่วย

พลังไม่เคยถอย เนื่องจากการเยียวยาด้วยระบบเรกิผู้ปฏิบัติเป็นเพียงช่องทางที่พลังเรกิจา กบรรยากาศทั่วไปในจักรวาลไหลผ่านเพื่อไปสู่ผู้รับพลังเรกิ พลังของผู้ปฏิบัติจึงไม่ถูกใช้ในการเยียวยา ดังนั้นพลังของผู้ปฏิบัติจึงไม่ถดถอย ผู้ปฏิบัติไม่ปรากฎอาการอ่อนเพลียหลังจากเยียวยา และสามารถรักษาผู้ป่วยได้ต่อเนื่องหลายคน

การเยียวยาด้วยระบบเรกิมีลักษณะเด่นคือ
1. การเป็นผู้ปฏิบัติเรกิเกิดจากครูผู้สอนปรับร่างกายของผู้เรียนให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงเพื่อสามารถใช้เรกิในการเยียวยา ทำให้ทุกคนสามารถเรียนเรกิได้
2. ผู้เรียนไม่ต้องฝึกสมาธิ หายใจ หรือกิจกรรมอื่นเป็นระยะเวลานาน ต่อเนื่องเพื่อพัฒนาศักยภาพเป็นผู้ปฏิบัติเรกิ
3. พลังเรกิเป็นคลื่นที่มีความถี่สูงสามารถไหลเวียนหรือเคลื่อนไปตามตำแหน่ง ต่าง ๆ ในร่างกายที่มีการขาดความสมดุลของพลังงานได้อย่างอัตโนมัติ ผู้ปฏิบัติไม่จำเป็นต้องใช้จิตเป็นตัวนำเพื่อส่งผ่านพลังไปรักษา
4. เรกิไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติและผู้รับการเยียวยา
5. ผู้ปฏิบัติเรกิเป็นเพียงท่อส่งผ่านพลัง การเยียวยาจากระบบเรกิไม่ใช้พลังจากผู้เยียวยาทำให้เมื่อสิ้นสุดการรักษาผู้ ปฏิบัติไม่เสียพลังหรือมีอาการอ่อนเพลีย

เพิ่มอีกหน่อย
การรักษาโรคด้วยพลังเรกิ

การ รักษาด้วยพลัง
เรกิ  คือการส่งพลัง ไปให้คนไข้
โดยไม่ใช้ อุปกรณ์ใดๆ นอกจากมือของผู้ให้การบำบัด โดยเฉพาะผู้ที่มีความสามารถสูง อาจไม่ต้องสัมผัสตัวคนไข้ก็ได้

การ รักษาโรคด้วยพลังจักรวาล เป็นวิธีการอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อช่วยรักษาโรคทางกาย และใจวิธีการรักษาโรคด้วยพลังจักรวาลนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์

พลังจักรวาลทำให้ เกิดความสมดุลโดยผ่านจุดหลัก 7 จุดในร่างกาย ที่ เรียกว่า "จักระ"ซึ่ง เป็นภาษา สันกฤตแปลว่า วงล้อ

การรักษาวิธีนี้ ได้รับการค้นคว้าจากโลก ตะวันตกเช่นกัน กล่าวได้ว่าพลังจักรวาลเป็นศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
เกี่ยวกับพลังงานที่เราเรียกว่า พลังคอสมิคต้นกำเนิดของพลังจักวาลนี้
สืบสาวได้ถึงวิธีการรักษาโดยธรรมชาติ และวิธีนี้ได้ถูกค้นพบอีกครั้งภายใต้กฎความเป็นอยู่ของมนุษย์
ซี่งขณะนี้มีความ พยายามไม่ใช้ยาจากสารเคมี ขบวนการการทำงาน

พลัง จักรวาลจะ เข้าสู่ร่างกายคนไข้ และปรับความ สมดุลให้กับอวัยวะที่มีปัญหาของ คนไข้ ผลก็คือ ทำให้คนไข้หายป่วยหรือทุเลาจากโรคภัยไข้เจ็บ
ที่กำลัง เป็นอยู่ ทั้งนี้เพราะ เหตุผลที่ว่า บุคคลที่เจ็บป่วยมีสาเหตุเนื่องมาจาก อวัยวะที่เจ็บป่วยขาดความสมดุลของพลังจักรวาลจึงทำให้เกิดอาการของโรคต่างๆ
ดัง นั้น ผู้ที่มีความสามารถรับ และส่งพลัง
เรกิให้กับผู้ป่วยได้โดยส่งผ่านไปตามจักระของมนุษย์ ไปสู่ที่อวัยวะที่เจ็บป่วย

เพื่อให้พลังจักรวาลปรับความสมดุลที่อวัยวะนั้น จึงทำให้ ผู้ป่วยหายหรือทุเลา จากการเจ็บป่วยนั้นๆ และกลับสู่สภาพปกติดังเดิม

วิธี การรักษานี้ จะใช้การสัมผัสด้วยมือ (หรือไม่ใช้การสัมผัสก็ได้ เรียกว่าการรักษาทางไกล) โดยใช้เวลาแต่ละครั้ง จะต้องไม่เกิน 5 นาที
และตามปกติวันหนึ่งจะทำการรักษาเพียง 1 ครั้งเท่านั้น
การบำบัดนี้ผู้ทำการบำบัดควรจะมีความคิดและจะต้องปฏิบัติดังต่อไป นี้

1. ผู้ทำการบำบัด ต้องฝึกให้มีความคิดที่จะบรรลุถึงการควบคุมตนเองในภาระหน้าที่ต่างๆทุก ประการ จากหน้าที่เล็กๆ 

ในครอบครัวไปจนถึงหน้าที่สูงสุดในสังคมนี่เป็นเป้าหมายของการฝึกฝนด้วยตนเอง เมื่อผู้ทำการบำบัดบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าว
แล้วจะสามารถนำความผาสุกมาสู่คนไข้ได้

2. ผู้ทำการบำบัดและครอบครัวต้องผ่านการพิสูจน์จากสังคม และยอมรับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเราแม้จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ยิ่งทนได้มากเท่าไร กรรมของเราก็จะหมดลงเร็วเท่านั้น
ขณะที่เราทนต่อความทุกข์ยากได้ จิตวิญญาณจะพุ่งสู่ระดับสูงขึ้น
เมื่อจิตวิญญาณของเราพัฒนาเข้าสู่ ระดับสูงขึ้น ร่างกายของเราก็จะดูดซับพลังจักรวาลได้ง่ายขึ้น
ในสภาวะเช่นนี้เราจะมีความสามารถมากพอที่จะบำบัดคนไข้ทั้งหมดที่มาพบเราได้ ถึงแม้ว่าคนไข้เหล่านั้นจะมีโรคที่ยากต่อการบำบัด

3. เราต้องให้ความรักคนไข้ให้มากเท่ากับที่รักครอบครัวของเรา และต้องไม่แบ่งแยกชนชั้น

4. ระหว่างการบำบัด ความคิดคำนึงของเราควรจดจ่ออยู่ที่คนไข้ และต้องไม่ยอมให้สภาวะแวดล้อมภายนอกทำให้เราไขว้เขว

5. ผู้ฝึกฝนต้องเสียสละประโยชน์ส่วนตนด้วยการปฏิเสธความมีชื่อเสียง ทรัพย์สมบัติ และความรัก ความมีชื่อเสียงควรนำมา
สู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน ทรัพย์ศฤงคารควรอุทิศให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในประเทศของตน และความรักควรจะแบ่งบันไปสู่มวลมนุษย์

6. ร่างกายของมนุษย์มีจุดสำคัญ 7 จุด เมื่อจุดเหล่านี้ถูกเปิด จะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่าเต็มที่ ในชั้นต้นเมื่อได้รับการเปิดจุด 6 จุด 
และ ได้ฝึกฝนด้วยตนเอง จนประสบผลสำเร็จแล้ว จุดสำคัญอีก 1 จุด จะถูกเปิด ซึ่งถือว่าได้บรรลุถึงจุดสูงสุด และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น